บทที่ 6

หยางหยางสีหน้านิ่งเฉย "อ้อ แบบนี้เอง"

เด็กชายแนะนำตัวเองอย่างรวดเร็ว "ข้าชื่อรุ่ยรุ่ย"

มู่จือเหยี่ยนตะลึงค้าง ในใจคิดรุ่ยคำไหนกันนะ?

หรือจะเป็นคำว่ารุ่ยที่มาจากชื่อหนานกงรุ่ยหยวน?

เหตุใดบุรุษคนนั้นถึงตั้งชื่อลูกแบบนั้นได้? ฟังดูไม่น่าฟังเลยสักนิด!

รุ่ยรุ่ยโน้มตัวมาถามอย่างสงสัย "เจ้าชื่อหยางหยางหรือชื่อเพราะมาก"

หยางหยางตอบกลับอย่างเย็นชา "อืม"

“นั้นคือมารดาของเจ้า?”

"ใช่"

“ที่แท้พวกเจ้าเป็นคนในเมืองหลวงหรอกหรือ งั้นพวกเราก็ถือเป็นคนบ้านเดียวกัน

"ไม่ใช่" หยางหยางรู้สึกรำคาญคนตรงหน้าที่เอาแต่ถามไม่หยุด ทำให้เขาปวดหัวอย่างมาก

คนอะไรพึ่งจะรู้จักทำตัวราวกับสนิทสนมมานาน น่ารำคาญยิ่งนัก!

“ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไปเมืองหลวงใช่ไหม? ข้าเป็นคนเมืองหลวงนะ สามารถนําทางให้พวกเจ้าได้ ที่ไหนมีของกินอร่อย ๆ ในเมืองหลวงข้าล้วนรู้ดี” รุ่ยรุ่ยยิ่งพูดยิ่งภูมิใจ ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะน่ารําคาญเลย

“เจ้าคิดจะหนีออกจากบ้านไม่ใช่หรือ? เหตุใดจะกลับไปอีกล่ะ?” มู่จื่อเหยี่ยนถามกลับ

"เฮ้อ ข้าไม่อยากหาแล้ว อย่างไรก็หาไม่พบอยู่ดี" รุ่ยรุ่ยพูดอย่างจนใจ

"เจ้าต้องการหาอะไร?"

“แน่นอนว่าจะต้องตามหาท่านแม่ของข้า ท่านพ่อเคยบอกว่า ท่านแม่ทิ้งข้าไป แล้วไปพบรักกับคนอื่น จากนั้นก็ไม่กลับมาบ้านอีกเลย ข้าอยากตามหาท่านแม่ให้พบ แล้วถามว่าที่ท่านพ่อพูดเป็นความจริงหรือไม่"

มู่จื่อเหยี่ยนไม่คาดคิดมาก่อนว่า หนานกงรุ่ยหยวนลับหลังจะกล่าวหาตนเช่นนี้

เขาไม่กลัวที่จะถูกสวรรค์ลงโทษหรือ?

รุ่ยรุ่ยก้าวไปข้างหน้าถามอย่างสงสัย "หยางหยาง เจ้ามีบิดาหรือไม่?"

“ไม่มี” หยางหยางตอบอย่างหนักแน่น

“เกิดอะไรขึ้น” รุ่ยรุยมองแววตาของเขา วินาทีนั้นเกิดความสงสารขึ้นมา

“ท่านแม่บอกว่า บุรุษคนนั้นไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เขาตกหลุมรักคนอื่น สุดท้ายถูกฆ่าตาย ต้นหญ้าที่ขึ้นอยู่ตรงหลุมฝังศพตอนนี้สูงกว่าข้าเสียอีก”

รุ่ยรุ่ยรู้สึกว่าคำพูดนี้ฟังแล้วดูแปลกพิกล แต่เขากลับไม่รู้ว่ามันแปลกตรงไหน

เขาพูดกล่าวโทษ "บิดาของเจ้าทำเรื่องขัดต่อศีลธรรมตายแบบนี้สมควรแล้ว"

ในที่สุดใบหน้าของหยางหยางก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้น "คนทำชั่วย่อมได้รับโทษ เขาสมควรแล้ว"

ยามนี้ในเมืองหลวง เหยี่ยนอ๋องที่อยู่ในจวนกำลังจามออกมาสองครั้งอย่างไม่รู้สาเหตุ เขารู้สึกว่ามีคนนินทาเขาอยู่ลับหลัง!

มู่จื่อเหยี่ยนได้ยินเด็กสองคนพูดเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย นางรู้สึกจนใจเล็กน้อย เปลี่ยนเรื่องสนทนา "ไม่ต้องยืนอยู่ด้านนอก รีบเข้าไปในรถม้าแล้วค่อยคุยกันต่อ"

ในรถม้าได้จัดเตรียมถ่านไฟกับเตาอุ่นไฟไว้เพื่อให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย มู่จือเหยี่ยนอุ้มหยางหยางเข้าไปในรถม้า แล้วบอกให้สารถีเร่งเดินทางต่อไป

นางหยิบเครื่องมือหลากหลายชนิดที่เกี่ยวกับการแปลงโฉมจากกล่องสัมภาระ

นี่เป็นครั้งแรกที่รุ่ยรุ่ยเห็นการแปลงโฉมเป็นครั้งแรก เขาดูตกใจมาก เขาเอาตัวไปเบียดอยู่ด้านข้างของหยางหยาง ถามว่า "ท่านแม่ของเจ้าทำไมถึงเปลี่ยนใบหน้าได้ล่ะ? ราวกับสวมหน้ากากไว้ไม่มีผิด"

หยางหยางเมินเฉยใส่เขา

รุ่ยรุ่ยกลับไม่โกรธ จ้องไปยังหน้ากากที่แกะสลักอย่างปราณีตที่ประดับบนหน้าบนหน้าของหยางหยางแล้วถามขึ้น “เจ้าสวมมันไว้ตลอดเวลาเลยหรือ? ข้าอยากเห็นว่าหน้าตาของเจ้าเป็นเช่นไร ถอดได้หรือไม่?”

“ไม่ได้” หยางหยางปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา

"เสด็จ ลุง ทำไมล่ะ?"

“ท่านแม่สอนว่าอย่าให้คนแปลกมาหน้าเห็น”

“พวกเรารู้จักกันแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่คนแปลกหน้าอีก เจ้าให้ข้าดูหน่อย ” รุ่ยรุ่ยโน้มตัวเข้ามา มองเขาด้วยสีหน้าสงสัย “เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าจะมีหน้าตาที่ดีมาก ท่านแม่ของเจ้ากลัวว่าจะมีคนลักพาตัวเจ้าไป”

หยางหยางรู้สึกหัวเสียกับคนตรงหน้าอย่างมาก ไม่ให้ดูก็คือไม่ให้ดู ยังจะถามหาเหตุผลมากมายไปอีกทำไม?

เขาควรจะเปลี่ยนชื่อเป็น เจ้าคนช่างสงสัย!

“เจ้าให้ข้าดูหน่อย ดูหน่อยเถอะนะ” รุ่ยรุ่ยอยากเห็นใบหน้าของเขาอย่างมาก เขาอาศัยจังหวะที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันระวัง ยื่นมือไปแตะโดนใบหน้าเล็ก ๆ นั่น

หยางหยางเริ่มโกรธแล้ว "เจ้าจะทำอะไรกันแน่?"

“ใบหน้าของเจ้านุ่มนิ่มอย่างมาก!” รุ่ยรุ่ยเอ่ยปากชมอย่างตื่นเต้น “มันเหมือนกับซาลาเปาที่เพิ่งออกจากเตา ทั้งนุ่มและฟู ให้ความรู้สึกดีมากเลย”

หยางหยางผลักเขาออกอย่างแรง "เจ้าอยู่ให้ห่างข้าหน่อย ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าแล้ว"

"แต่ข้าชอบเจ้าอย่างมาก เจ้าทำไมเย็นชานักล่ะ เล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย" รุ่ยรุ่ยจับมือเขาอย่างมีความสุข "จากนี้ไปข้าจะเป็นพี่ชายให้เจ้าเอง"

“ข้าไม่ต้องการ เจ้ามันน่ารำคาญนัก” หยางหยางออกแรงดิ้นให้มือหลุดจากกอบกุมของเขา

หยางหยางพึ่งรู้ว่าคนตรงหน้ามีพละกำลังเยอะมาก เขาโกธรจนต้องยกเท้าขึ้นถีบ

มู่จื่อเหยี่ยนมองดูเด็กทั้งสองทะเลาะกัน นางเอ่ยเตือนว่า "พวกเจ้าแค่ทะเลาะกันก็พอ อย่าได้ถึงขั้นลงไม้ลงมือจนได้รับบาดเจ็บล่ะ!"

“ท่านแม่วางใจเถิด ข้าไม่ใช้กำลังหรอก”

“ใช่แล้ว ข้าจะดูแลเขาอย่างดีเลย” รุ่ยรุ่ยอ้าแขนแล้ว กอดหยางหยางไว้ตรงตำแหน่งหน้าอกโดยมีเสื้อกันลมเนื้อหนาคั่นอยู่ตรงกลาง พูดอย่างมีความสุขว่า “แบบนี้อุ่นขึ้นหรือไม่?”

หยางหยางที่อยู่ในอ้อมแขนไม่สามารถกระดุกกระดิกตัวได้ เขามีอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างมาก จ้องคนตรงหน้าด้วยสายตาดุดัน โทสะที่มีพร้อมที่จะระบายกับเขา

รุ่ยรุ่ยกลับไม่หวาดกลัวเขาสักนิด ปล่อยให้อีกฝ่ายจ้องเขม็งอยู่อย่างนั้น โดยไม่ยอมปล่อยมือ รุ่ยรุ่ยทำหน้าราวกับไม่สะทกสะท้าน

เขาชอบช่วงเวลาแห่งความสุขนี้อย่างมาก ได้เสพสุขการโอบกอดน้องชายที่น่าเอ็นดูผู้นี้

การแปลงโฉมของมู่จือเหยี่ยนเสร็จในเวลาอันสั้น นางไม่ลืมที่จะติดปานบนตำแหน่งใบหน้า ดูคล้ายคุณหนูสามของจวนหนิงหยวนโหวอย่างมาก

รุ่ยรุ่ยมองนางอย่างสงสัยถามว่า "เหตุใดต้องทำให้ตัวเองต้องอัปลักษณ์เช่นนี้? ใบหน้าเดิมของท่านก็งดงามอยู่แล้วมิใช่หรือ? ยังจะมีปานที่น่าเกลียดนั้่นอีก"

“นี่ ๆ ห้ามผู้ใดมาว่าท่านแม่ข้าหน้าตาน่าเกลียด” หยางหยางโต้กลับด้วยท่าทีขึงขัง

"เสด็จ ลุง ข้าไม่ได้ว่าท่านแม่ของเจ้าน่าเกลียดนะ ใบหน้าที่นางกำลังแปลงโฉมนั้นต่างหากที่น่าเกลียด" รุ่ยรุ่ยอธิบาย

“เจ้ายังไม่หยุดพูดอีก”

“ได้ ข้าจะไม่พูดแล้ว ข้าล่ะกลัวเจ้าจริง ๆ อย่าโมโหเลย” รุ่ยรุยเกลี้ยกล่อมเขา

มู่จือเหยี่ยน เฝ้าดูเด็กทั้งสองที่กำลังทะเลาะกัน ในใจบังเกิดความอบอุ่นขึ้นมา หยางหยางร่างกายไม่แข็งแรง มีอุปนิสัยเย็นชา นอกจากนางที่เป็นมารดาแล้ว เขาไม่ชอบที่จะสุงสิงกับผู้อื่น

แต่ปกติแล้วนางก็จะเอาใจลูกชายคนนี้อยู่เสมอ เพราะอยากเห็นเขาจะเติบโตขึ้นอย่างมีความสุข

รุ่ยรุ่ยนั้นต่างกันออกไป พวกเขาเป็นพี่น้องที่คลานตามกันมา แม้ว่าเด็กสองคนยังไม่รู้ถึงความสัมพันธ์นี้ แต่สายสัมพันธ์ที่มีมาในสายเลือดนั้น แม้ว่าใครก็เทียบไม่ได้

มู่จื่อเหยี่ยนเห็นเด็กทั้งทั้งสองมีความสนิทสนมกันเพิ่มขึ้น ในใจมีความสุขมาก พอเห็นหยางหยางส่งสายตาขอความช่วยเหลือ นางจึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

“รุ่ยรุ่ยข้าอยากปรึกษาเรื่องบางอย่างกับเจ้าได้หรือไม่?” มู่จื่อเหยี่ยนถามขึ้นจริงจัง

“เรื่องอะไรหรือขอรับ?” รุ่ยรุ่ยมองนางอย่างสงสัย

หยางหยางมองไปที่แม่ ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาแดงระเรื่อ น่ารักมาก

“พอเจ้าถึงเมืองหลวงแล้ว อย่าได้นำเรื่องที่ข้าปลอมตัวไปบอกกับใคร ได้หรือไม่? ”

“ได้สิ” รุ่ยรุ่ยพยักหน้า

สำหรับเขานี่เป็นเรื่องที่ง่ายอย่างมาก

"โดยเฉพาะบิดาของเจ้า" สิ่งที่มู่จือเหยี่ยน กลัวที่สุดคือเจ้าปีศาจคนนั้น หากเขามาหาเรื่องนางจะทำอย่างไรดี?

นางย้ำอีกครั้งว่า "จำไว้ อย่าได้บอกเขาเป็นอันขาด"

รุ่ยรุยพยักหน้าเห็นด้วย พูดว่า "ตกลง ข้าจะไม่บอกเขา เรามาเกี่ยวก้อยกันเถอะ"

มู่จือเหยี่ยนเกี่ยวก้อยกับนิ้วก้อยเล็ก ๆ ของเขาอย่างร่วมมือ วิธีนี้คงเป็นวิธีการที่ให้คำสัญญาที่น่าเชื่อถือระหว่างเด็ก ๆ ด้วยกัน

"เรามาเกี่ยวก้อยสัญญากัน ต้องทำตามที่รับปากไว้นะ"

หยางหยางพอเห็นว่าพวกเขาสองคนมีความสัมพันธ์ที่กลมเกลียวมากยิ่งขึ้น เขาทำปากบุ้ยอย่างน้อยใจ

เมื่อก่อนท่านแม่เคยแต่เกี่ยวก้อยสัญญากับเขา แต่ตอนนี้กลับมีคนเพิ่มมาอีกคน เขาไม่มีความสุขแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นรถม้าก็โคลงเคลงไปมา ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ลอดดังเข้ามา

มู่จือเหยี่ยนปกป้องเด็กทั้งสองด้วยสัญชาตญาณ สองตามองไปยังด้านนอกถาม "เกิดอะไรขึ้น?"

สารถีไม่ได้ตอบ ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นว่า "ฉินอวี้เหยา รีบออกมาเดี๋ยวนี้ ยังคิดจะหลบซ่อนตัวอยู่อีกหรือ?"

ฉินอวี้เหยาเป็นชื่อของคุณหนูสามแห่งจวนหนิงหยวนโหว และยังเป็นตัวตนสำรองของมู่จือเหยี่ยนอีกด้วย

นางย้ำเด็กทั้งสองไม่ให้ลงจากรถม้า รุ่ยรุ่ยทนไม่ไหว เขาพุ่งตัวออกไปด้วยความโกรธ "เหอะ ไอ้สารเลวจากไหนกัน กล้าวางท่าต่อหน้าข้าเช่นนี้?"

มู่จือเหยี่ยนไม่ทันจะห้ามเขา รีบพุ่งตัวตามออกไป

บทก่อนหน้า
บทถัดไป